รถไฟฟ้าแบตหมด จะต้องทำยังไง ?
สำหรับท่านไหนที่กำลังใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือมีแพลนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า คงจะกังวลว่าแบตหมดระหว่างเดินทางจะทำยังไงดี ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบว่า รถไฟฟ้าแบตหมด จะต้องทำยังไง ? หาสถานีชาร์จไฟได้ที่ไหน มีวิธียืดระยะทางให้ขับต่อไปได้อีกไหม เราไปดูกันเลย !!

รถไฟฟ้าแบตไม่พอ ทำยังไงดี
การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเดินทางไกล แทบจะไม่แตกต่างจากรถยนต์น้ำมัน เพราะมันก็เป็นยานพาหนะเหมือนกัน แตกต่างกันเพียงรูปแบบพลังงานเท่านั้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอย่างแน่นอนนั่นคือเรื่องของฟีลลิ่งการขับขี่ ที่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีความกระชับกว่าก็ได้ หรือจะนุ่มนวลกว่าก็ทำได้ เพราะเค้าขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งไม่มีเสียงรบกวน แถมไม่มีแรงสั่นสะเทือนในห้องโดยสารอีกด้วย
ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญในการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า คือ ระยะทางในการเดินทาง ว่าจะสามารถขับขี่ไปถึงที่หมายได้เพียงพอหรือไม่ ซึ่งสถานีชาร์จส่วนใหญ่ มักจะอยู่ในถนนสายหลักซะมากกว่า แต่อย่าเพิ่งกังวลไป ความพิเศษของรถยนต์ไฟฟ้า ที่หลายๆคนยังไม่เคยทราบ คือมันสามารถเพิ่มปริมาณไฟฟ้ากลับเข้าไปในแบตได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ชาร์จแบตไปในตัวได้ นั่นเอง ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีมาก แต่วิธีหลักๆจะมีอยู่ 2 วิธีคือ
- ใช้การหน่วงมอเตอร์ การหน่วงมอเตอร์ เทียบเท่าได้กับการหน่วงเครื่องยนต์ หรือ Engine Brake ที่เกิดขึ้นในรถยนต์สันดาป รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นตอนนี้สามารถปรับการหน่วงของมอเตอร์ได้ทั้งหมด โดยจะมีศัพท์เรียกว่า Regenerative Braking หรือ KERS ก็แล้วแต่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นๆ ตั้งชื่อให้ แต่หลักการเหมือนกันหมดนั่นคือ หากผู้ขับยกคันเร่ง ตัวมอเตอร์จะทำการหน่วงความเร็วเฉื่อยที่มีอยู่ ส่งผลให้ความเร็วลดลง และระบบจะทำการผลิตไฟฟ้าจากแรงเฉื่อย ปั่นเข้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอร์รี่ ซึ่งเหมาะกับการขับขี่ทุกรูปแบบ
- การไหลลงจากที่สูง รูปแบบนี้เหมาะมากๆ สำหรับภูมิประเทศที่มีความลาดชัน อาทิเช่นการขับขึ้น-ลงดอยต่างๆ การขับรถยนต์ไฟฟ้าลงดอยนั้น คุณสามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอร์รี่ได้ในปริมาณที่ค่อนข้างมาก โดยรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะสามารถปั่นไฟฟ้าได้ราวๆ 50 kW ขึ้นไป จากการขับรถไหลลงจากที่ลาดสูง ส่งผลให้เราสามารถผลิตไฟฟ้ากลับเข้ามาเป็นพลังงานขับเคลื่อนได้ค่อนข้างมาก
วิธีเพิ่มระยะทางการขับสำหรับรถไฟฟ้า
- ลดความเร็วลง กว่า 90% ของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า มักจะใช้ความเร็วสูงกว่า 90 กม./ชม. ในการขับขี่ โดยเฉพาะความเร็ว 120 กม./ชม. ขึ้นไป ตัวรถก็จะยิ่งบริโภคไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ไม่แตกต่างจากรถยนต์น้ำมัน ที่ยิ่งขับเร็ว ก็ยิ่งกินน้ำมัน หากคุณขับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยความเร็วระดับนี้ จนรถแจ้งว่าระยะทางขับขี่ไม่พอ แนะนำให้ลดความเร็วลงเหลือไม่เกิน 80-90 กม./ชม. ตัวระบบควบคุมรถจะทำการคำนวณระยะทางที่สามารถขับขี่ต่อไปได้อีก โดยสามารถขับขี่ไปได้ไกลขึ้นราวๆ 5-30% แล้วแต่ความเร็วที่คุณใช้งานในตอนแรกเลย
- หากใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. แล้วแบตฯ ยังคงไม่พอ แนะนำให้แวะชาร์จแบตฯ เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดโดยแนะนำให้ชาร์จแค่ไม่เกิน 80% เท่านี้ก็เพียงพอต่อการขับขี่ในทุกรูปแบบแล้ว เพราะช่วงการชาร์จแบตเตอร์รี่จาก 0-80% เป็นช่วงการชาร์จแบตเตอร์รี่ที่เร็วที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น
แอพลิเคชันสำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า
- EV Station PluZ
- PEA VOLTA
- EleXA
- EA Anywhere
- MEA EV
- ChargeLoma
- PlugShare
ที่มา : Autospinn